วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2562

บทที่1 ความหมายของความรู้จากนักธุรกิจ


ความหมายของความรู้จาก8นักวิชาการ



วิจารณ์พานิช  ให้ความหมายว่าการจัดการความรู้  หมายถึง  การรวบรวม การจัดระบบ การจัดเก็บ และการเข้าถึงข้อมูล  เพื่อสร้างเป็นความรู้เทคโนโลยีด้านข้อมูลและด้านคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มพลังในการจัดการความรู้  แต่เทคโนโลยีด้านข้อมูลและคอมพิวเตอร์โดยตัวของมันเองไม่ใช่การจัดการความรู้





Ikujiro Nonaka  (1994 : 14-37 อ้างถึงในธเนศ  เกสรสิริธร  2555 : 8)  นักจัดการความรู้ได้จำแนกความรู้ออกเป็น  2  ประเภท  และให้คำจำกัดความไว้เบื้องต้นที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรม  ซึ่งนักการจัดการความรู้ใหม่ๆ  จะต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งเพราะจะเป็นพื้นฐานในการจัดการความรู้  คือ
1.  Explicit Knowledge  เป็นความรู้ที่ปรากฏและมองเห็นได้ชัดเจน  สามารถจัดทำออกมาในรูปแบบของเอกสาร  คู่มือหรือสื่อต่างๆ  และสามารถถ่ายทอดหรือรวบรวมได้ง่าย  เช่น  เอกสาร  หนังสือ  วีซีดี  เทป  ฐานข้อมูล  เรียกว่ารูปแบบรูปธรรม
2.  Tacit  Knowledge  เป็นความรู้ที่ไม่ปรากฏชัดแจ้ง  ถูกฝังลึกและซ่อนเร้นอยู่ในตัวบุคคล  โดย  Tacit  Knowledge  อาจเกิดจากประสบการณ์  การเรียนรู้หรือพรสวรรค์  (Talent)  การถ่ายทอดหรือสื่อสารในรูปแบบของตัวเลขหรือตัวอักษรอาจทำได้ยาก



Davenport 
 Prusak

Davenport and Prusak (1988) ความรู้ หมายถึง ส่วนผสมของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สารสนเทศ ที่เป็นสภาพแวดล้อมและกรอบการทำงานสำหรับการประเมินและรวมกันของประสบการณ์และสารสนเทศใหม่"


Hideo Yamazaki  นักวิชาการชาวญี่ปุ่น ได้ให้นิยามของคำว่า “ ความรู้” คือ สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิดเปรียบเทียบ เชื่อมโยงกับความรู้อื่น จนเกิดเป็นความเข้าใจและนำไปใช้ประโยชน์ในการสรุป และตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยไม่จำกัดช่วงเวลา




 Peter Drucker  เชื่อว่า หัวใจของการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้อยู่ที่การเสริมสร้างวินัย 5 ประการให้เกิดขึ้น ได้แก่
1.         บุคลากรชั้นเลิศ (Personal mastery)
2.         มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน (Building shared vision)
3.         มีแบบแผนความคิดร่วม (Mental models)
4.         เรียนรู้เป็นทีม (Team learning)
5.         การคิดอย่างเป็นระบบ (Systematic thinking)



ประเวศ วะสี  การจัดการให้มีความรับรู้ความจริง สร้างความรู้ สังเคราะห์ความรู้ให้เหมาะสมกับงาน และ ความรู้คือชีวิต ชีวิตคือการศึกษา ยืนที่เดียวกัน แต่ว่าการมีความรู้ในโลกปัจจุบันนี้ชีวิตก็อย่างหนึ่ง การศึกษาก็อย่างหนึ่ง แล้วการศึกษาก็เอาวิชาเป็นตัวตั้ง ตรงนี้นี่การปฏิบัติคือพยายามย้ายการศึกษาจากการท่องเขียนให้มาอยู่ในวิถีชีวิตร่วมกัน และเรียนรู้จากวิถีชีวิตร่วมกันให้มากที่สุด




Peter Senge  (1990)   เชื่อว่า หัวใจของการสร้างองค์การแห่งการเรียนรู้อยู่ที่การเสริมสร้างวินัย  5 ประการ ให้เกิดผลจริงจังในรูปของการนำไปปฏิบัติ แก่บุคคล ทีม และองค์การอย่างต่อเนื่องและทุกระดับ โดย Sengeได้ให้คำนิยามของ ”องค์การแห่งการเรียนรู้”  ว่า “เป็นองค์การที่ผู้คนต่างขยายขีดความสามารถเพื่อสร้างผลงานที่ต้องการสร้างอนาคตคือ
 1:  ความรอบรู้แห่งตน (Personal Mastery)วินัยประการที่ 
2:  แบบแผนความคิดอ่าน (Mental Models) วินัยประการที่ 
3:  วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision)วินัยประการที่
 4:  การเรียนรู้ของทีม (Team Learning)วินัยประการที่ 
5:  การคิดอย่างเป็นระบบ(Systematic Thinking)




การจัดการความรู้โดยใช้ปลาทูโมเดล (TUNA MODEL) ของ ดร.ประพันธ์ ผาสุขยืด. (2549)
โมเดลปลาประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนตัว และส่วนหาง
ส่วนหัวปลา เรียกว่า KV ย่อมาจาก Knowledge Vision หมายถึงส่วนที่เป็นวิสัยทัศน์ หรือเป็นทิศทางของการจัดการความรู้ กล่าวคือ ส่วนหัวจะทำหน้าที่มองว่ากำลังจะไปทางไหนต้องตอบได้ว่า "ทำ KM ไปเพื่ออะไร"
ส่วนตัวปลา เรียกว่า KS ย่อมาจาก Knowledge Sharing หมายถึงส่วนที่เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจ และเป็นส่วนที่ยากลำบากที่สุดในกระบวนการทำ KM เพราะต้องเกิดจากปัจจัย และสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้คนพร้อมที่จะแบ่งปันและเรียนรู้ร่วมกัน





วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562

บทที่ 2 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้


การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM)




ที่มา : https://moonoijudy.wordpress.com

          การจัดการความรู้ คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในส่วนราชการซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคล หรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ

         1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม

        2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม


โมเดลการจัดการความรู้

          โมเดลเซกิ (SECI Model) ถูกเสนอโดย Nonaka และ Takeuchi,1995 คือ แผนภาพแสดงความสัมพันธ์การหลอมรวมความรู้ในองค์กรระหว่างความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) กับความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ใน 4 กระบวนการ เพื่อยกระดับความรู้ให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นวัฎจักร เริ่มจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Socialization) การสกัดความรู้ออกจากตัวคน (Externalization) การควบรวมความรู้ (Combination) และการผนึกฝังความรู้ (Internalization)



ที่มา : http://welcome2km.blogspot.com/p/seci-model-nonaka-takeuchi1995-tacit.html



  1.การสร้างปฎิสัมพันธ์ทางสังคม (Socialization) S : Tacit to Tacit
 อธิบายความสัมพันธ์ทางสังคมในการส่งต่อระหว่างความรู้ฝังลึก (Tacit knowledge) ด้วยกันเป็นการแบ่งปันประสบการณ์แบบเผชิญหน้าระหว่างบุคคล เช่น ผู้บริหารบริษัท ได้เรียนรู้แลกเปลี่ยนทักษะใหม่ๆผ่านการพูดคุยจากการประชุม และได้แลกเปลี่ยนความรู้กับบุคคลอื่นในองค์กรเพื่อบริหารงานให้ดีขึ้นต่อไป

2. การแลกเปลี่ยนความรู้สู่ภายนอก (Externalization) E : Tacit to Explicit
 อธิบายความสัมพันธ์กับภายนอกในการส่งต่อระหว่างความรู้ฝังลึก (Tacit knowledge) กับความรู้ชัดแจ้ง (Explicit knowledge) อาจเป็นการนำเสนอ เแนวคิด แผนภาพ แผนภูมิ เอกสารที่ให้เกิดการสื่อสารระหว่างผู้เรียนรู้ด้วยกันที่เข้าใจได้ง่าย เช่น ผู้บริหารบริษัท ได้บริหารบริษัทอย่างเป็นระบบแบบแผนและนำพาบริษัทไปในทางที่ดี จึงทำหนังสือเกี่ยวกับการบริหารองค์กรเพื่อมาเผยแพร่ให้แก่ผู้ที่สนใจในการบริหาร

3. การรวบรวมความรู้ (Combination) C : Explicit to Explicit 
อธิบายความสัมพันธ์การรวมกันของความรู้ชัดแจ้ง (Explicit knowledgeที่ผ่านการจัดระบบ และบูรณาการความรู้ที่ต่างรูปแบบเข้าด้วยกันเพื่อนำความรู้ไปสร้างต้นแบบใหม่ ไปสร้างสรรค์งานใหม่ ได้ความรู้ใหม่ เช่น ผู้บริหารบริษัท ได้ศึกษาหากลยุทธ์ในการบริหารองค์กรต่างๆจากแหล่งข้อมูล หรือสื่ออื่นๆ และทำเป็นกลยุทธ์ในการบริหารงานใหม่ๆ เพื่อเผยแพร่เป็นหนังสือซึ่งเกิดเป็นการรวบรวมแหล่งความรู้ต่างๆ และความรู้ของตนเอง

 4. การผนึกฝังความรู้ (Internalization) I : Explicit to Tacit 
อธิบายความสัมพันธ์ภายในที่มีการส่งต่อความรู้ชัดแจ้ง (Explicit knowledgeสู่ความรู้ฝังลึก (Tacit knowledgeแล้วมีการนำไปใช้ในระดับบุคคล ครอบคลุมการเรียนรู้และลงมือทำ เช่น ผู้บริหารบริษัท ได้ศึกษาหาความรู้ในการบริหารองค์การจากแหล่งข้อมูลต่างๆจนเกิดความชำนาญและได้นำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ให้บุคคลอื่นในองค์กรเพื่อจะได้พัฒนาองค์กรให้ดีขึ้นต่อไป

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562

บทที่ 3 กระบวนการจัดการความรู้


องค์ประกอบของการจัดการความรู้


ที่มา : www.mmthailand.com/ความรู้-เพิ่มผลิตภาพ-knowledge-management/
  
 "คน” เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นแหล่งความรู้ และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
  "เทคโนโลยี” เป็นเครื่องมือที่ช่วยค้นหา จัดเก็บ แลกเปลี่ยน และนำความรู้ไปใช้ได้ง่ายและ รวดเร็วขึ้น
  "กระบวนการความรู้ (Knowledge Process)” เป็น การบริหารจัดการ เพื่อนำความรู้จากแหล่งความรู้ไปให้ผู้ใช้ เพื่อให้เกิดการปรับปรุง และนวัตกรรม โดยองค์ประกอบทั้ง ๓ ส่วนนี้ต้องเชื่อมโยงและบูรณาการเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม การที่องค์กรได้นำวิธีการจัดการความรู้มาใช้ในการพัฒนาคน พัฒนางาน และพัฒนาองค์กรแล้ว จะเห็นได้ว่าเกิดประโยชน์มากมาย ทั้งเป็นการเพิ่มคุณภาพและศักยภาพขององค์กร โดยมีการนำความรู้ที่มี อยู่เดิม (ความรู้เก่า) นำมาบูรณาการเป็นความรู้ใหม่ก็จะก่อให้เกิดเป็นความรู้ใหม่ ๆ ขึ้นอีก และสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น จนกลายเป็นวงจรแห่งการเรียนรู้ที่เพิ่มพูนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

สรุป   
องค์ประกอบสำคัญของการจัดการความรู้ (Knowledge Process)
       1. คน ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นแหล่งความรู้ และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
       2.เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือเพื่อให้คนสามารถค้นหา จัดเก็บ แลกเปลี่ยน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้อย่างง่าย และรวดเร็วขึ้น
       3. กระบวนการความรู้ นั้น เป็นการบริหารจัดการ เพื่อนำความรู้จากแหล่งความรู้ไปให้ผู้ใช้ เพื่อทำให้เกิดการปรับปรุง และนวัตกรรม 
โดยองค์ประกอบทั้ง ๓ ส่วนนี้ต้องเชื่อมโยงและบูรณาการเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม


 กระบวนการจัดการความรู้ 


กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management) เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เกิดพัฒนาการของความรู้ หรือการจัดการความรู้ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กร มีทั้งหมด 7 ขั้นตอน คือ
1. การบ่งชี้ความรู้ เป็นการพิจารณาเป้าหมายคืออะไร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เราจำเป็นต้องใช้อะไร ขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด เพื่อให้เกิดการบรรลุเป้าหมาย
2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เช่นการศึกษาหาความรู้ใหม่ หาความรู้จากภายนอก จากแหล่งความรู้ต่างๆ
3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ  เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้อย่างเป็นระบบในอนาคต
4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เช่น ปรับปรุงเนื้อหาในเอกสารให้เป็นมาตรฐาน  ปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์ เพื่อจะได้แก้ไขงานให้สมบรูณ์แบบ
5. การเข้าถึงความรู้ เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) Web board บอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ทำได้หลายวิธีการ โดยกรณีเป็น Explicit Knowledge อาจจัดทำเป็นเอกสาร ฐานความรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือกรณีเป็น Tacit Knowledge จัดทำเป็นระบบ ทีมข้ามสายงาน กิจกรรมกลุ่มคุณภาพและนวัตกรรม ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ระบบพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนงาน การยืมตัว เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น
7. การเรียนรู้ ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เช่นเกิดระบบการเรียนรู้จากสร้างองค์ความรู้ การนำความรู้ในไปใช้ เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ และหมุนเวียนต่อไปอย่างต่อเนื่อง



วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562

บทที่ 4 องค์กรแห่งการเรียนรู้



องค์กรแห่งการเรียนรู้




องค์กรแห่งการเรียนรู้” เป็นองค์กรที่มีการสร้างช่องทางให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและ กันภายในระหว่างบุคลากร ควบคู่ไปกับการรับความรู้จากภายนอก จุดประสงค์สำคัญ คือเพื่อให้เกิดโอกาสในการหาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด เพื่อไปสู่การพัฒนาและสร้างเป็ นฐานความรู้ ที่เข้มแข็งขององค์กร เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่เกิดขึ้นอยู่ ตลอดเวลา


วินัย 5 ประการ
1. บุคคลรอบรู้ (Personal Mastery) หมายถึง การเรียนรู้ของบุคลากรจะเป็นจุดเริ่มต้น คน ในองค์กรจะต้องให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ ฝึกฝน ปฏิบัติและเรียนรู้ อย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เพื่อเพิ่มศักยภาพของตนเองอยู่เสมอ  

2. แบบแผนทางความคิด (Mental Model) หมายถึง แบบแผนทางความคิด ความเชื่อ ทัศนคติแสดงถึงวุฒิภาวะ(Emotional Quotient, EQ) ที่ได้จากการสั่งสมประสบการณ์กลายเป็นกรอบความคิดที่ทำให้บุคคลนั้นๆ มีความสามารถในการทำความเข้าใจ วินิจฉัย ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
3. การมีวิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision) หมายถึง การสร้างทัศนคติร่วมของคนในองค์กร ให้ สามารถมองเห็นภาพและมีความต้องการที่จะมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน
4. การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team Learning) หมายถึง การเรียนรู้ร่วมกันของสมาชิกใน ลักษณะกลุ่มหรือทีมงานเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นเพื่อให้มีการถ่ายทอดความรู้ และ ประสบการณ์กันอย่างสม่ำเสมอ
5. การคิดอย่างเป็นระบบ (System Thinking) หมายถึง การที่คนในองค์กรมีความสามารถที่ จะเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ โดยมองเห็นภาพความสัมพันธ์กันเป็นระบบโดยรวม(Total System) ได้อย่าง เข้าใจ แล้วสามารถมองเห็นระบบย่อย(Subsystem) ที่จะนำไปวางแผนและดำเนินการทำส่วนย่อยๆ นั้นให้เสร็จทีละส่วน


ลักษณะสำคัญขององค์กรแห่งการเรียนรู้




จะมีลักษณะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้คือ
 1. มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ (Systematic problem Solving) โดยอาศัยหลักทาง วิทยาศาสตร์ เช่น การใช้วงจรของ Demming ( PDCA : Plan, Do, Check, Action)
 2. มีการทดลองปฏิบัติ (Experimental) ในสิ่งใหม่ ๆ ที่มีประโยชน์ต่อองค์การเสมอ โดย อาจจะเป็น Demonstration Project หรือเป็น Ongoing program
3. มีการเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต (Learning from their own experience) มีการบันทึก ข้อมูลเป็น case study เพื่อให้สมาชิกในองค์การได้ศึกษาถึงความสำเร็จและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในอนาคต มีการแลกเปลี่ยนความรู้และ ประสบการณ์ของสมาชิก
4. มีการเรียนรู้จากผู้อื่น (Learning from the Others) โดยการใช้การสัมภาษณ์ (Interview), การสังเกต (Observation) ฯลฯ
5. มีการถ่ายทอดความรู้โดยการทำ Report, Demonstration, Training & Education, Job Rotation ฯลฯ

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562

บทที่ 5 วัฏจักร การพัฒนาระบบ การจัดการความรู้

การพัฒนาการจัดการความรู้
      นักวิเคราะห์ระบบ  จะกระทำกับสารสนเทศที่มาจากความต้องการของผู้ใช้
      ผู้ใช้งาน  จะรู้ปัญหาเป็นอย่างดีแต่ไม่รู้ทางแก้ ตรงกันข้ามผู้เชียวชาญจะรู้ทั้งปัญหาและทางแก้
      วงจรการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิม  โดยทั่วไปจะประกอบด้วยขั้นตอนที่เป็นลำดับมาก่อนมาหลังส่วนKM SLC การพัฒนาแบบเพิ่มพูล พัฒนาทีละส่วนจนเสร็จก่อนถึงจะนำไปใช้ได้
     การทดสอบระบบ  ปกติจะกระทำขั้นตอนสุดท้ายของวงจร แต่ถ้าป็น KM system testing จะเข้าไปมีส่วนตั้งแต่เริ่มต้นเลย
     วงจรการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิม  ขับเคลื่อนไปด้วยกระบวนการ หรือเรียกว่า มีการกำหนดความต้องการและค่อยสร้างมันขึ้นมาแต่ถ้าเป็นวงจรชีวิตของ KM จะมุ่งเน้นถึงผลลัพธ์ ไม่ได้มุ่งเน้นถึงกระบวนการ  " เริ่มต้นอย่างช้าๆแต่มีการเติบโต "
8 ขั้นตอน ของการนำ KM  ( Knowledge  Management ) ไปสู่การปฏิบัติ
 ขั้นที่ กำหนดและสร้างทีมงานจัดการองค์ความรู้ในองค์กร (Knowledge Management Team) 

           ซึ่งเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการสร้าง KM ในองค์กร เชื่อมโยงกับเป้าหมายของผู้นำองค์กร ผู้บริหารโครงการมีทีมงานที่หลากหลายตามลักษณะการดำเนินขององค์กร โดยหลักการจะประกอบด้วย
          - ผู้ที่จัดการองค์ความรู้เฉพาะด้าน (Subject Manager)
          - ผู้เชื่อมโยงองค์ความรู้จากหลายกลุ่มผู้เชี่ยวชาญไปยังผู้ใช้ที่ต้องการ (Knowledge Broker)
          - ผู้เชี่ยวชาญกระบวนการ KM ซึ่งทำหน้าที่เป็นโค้ชในองค์กร (KM Coordinator) และ
          -  ที่ปรึกษา (KM Project Consultant)
                                                 
ขั้นที่ กำหนดกลยุทธ์ KM ขององค์กร
           โดยการศึกษากลยุทธ์ขององค์กรว่ามีสาระสำคัญด้านใดบ้าง ดำเนินการวิเคราะห์โอกาสและองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อความสำเร็จขององค์กรทั้งทางด้านธุรกิจและงานปฏิบัติการ เลือกองค์ความรู้ที่มีผลกระทบต่อความสำเร็จขององค์กรสูงสุด เพื่อคัดเลือกมาดำเนินการเป็นโครงการนำร่อง
                                      
ขั้นที่ ดำเนินการสำรวจระบบการจัดการองค์ความรู้ที่มีอยู่แล้วในองค์กร
           เช่น ระบบฐานข้อมูล ระบบ IT เพื่อทำการต่อยอดโดยไม่ต้องเสียเวลาสร้างขึ้นมาใหม่
                                            

ขั้นที่ คัดเลือกโครงการนำร่อง (Quick Win-KM Projects)
           ให้เลือกโครงการนำร่อง 2-3 โครงการ ตามความเหมาะสมของระดับความยากง่ายของโครงการและความพร้อมของทีมงาน และความเชี่ยวชาญที่มีอยู่ การที่มุ่งเน้นเพียงโครงการนำร่องจะมีโอกาสสำเร็จสูง และสามารถสร้างความเชื่อมั่น และเห็นผลประโยชน์ของ KM ชัดเจนขึ้น จับต้องได้มากขึ้น
                    
ขั้นที่ สร้างโครงสร้างการจัดการ KM ในองค์กร
            การจัดการองค์ความรู้ในองค์กรจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้นำองค์กร และผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพื่อสร้างองค์ความรู้แลกเปลี่ยน และใช้องค์ความรู้ให้เกิดประโยชน์   การเชื่อมโยงองค์ความรู้ในองค์กรจำเป็นต้องสร้างระบบพื้นฐาน เช่น ระบบ IT และเครือข่ายรองรับ เครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับคนที่จะเข้ามาใช้ และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ อาจใช้หลักการชุมชนนักปฏิบัติ หรือ Community of Practice, COP ส่วนระบบโครงสร้าง IT จะช่วยเชื่อมโยงเครือข่ายและชุมชนเข้าด้วยกัน และจัดการระบบข้อมูล เพื่อสนับสนุนกระบวนการจัดการองค์ความรู้ในองค์กร ปัจจัยแห่งความสำเร็จไม่ใช่อยู่ที่กระบวนการจัดการองค์ความรู้ที่ดี แต่อยู่ที่โครงสร้างการจัดการ วิธีบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) การปลูกฝังวัฒนธรรม การเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ โดยมีระบบการบริหารงานบุคคล คือ การประเมินผลและการให้รางวัล ทั้งในรูปแบบที่เป็นตัวเงิน และไม่เป็นตัวเงิน เมื่อมีการจัดตั้งระบบ KM แล้วเสร็จ อาจจะมีการโอนงานจากการบริหารงานโครงการสู่การบริหารงานแบบกระบวนการ โดยการจัดตั้งศูนย์กลางความรู้ขององค์กรดำเนินการจัดการองค์ความรู้ในองค์กรต่อไป
                                  
ขั้นที่ กำหนดเทคโนโลยีสนับสนุนการจัดการ KM
            ตั้งแต่การจัดเก็บ การจัดระบบ การสืบค้น และการค้นหาองค์ความรู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์ ดังนั้น ระบบ IT และเครือข่ายจึงมีสาระสำคัญในการสนับสนุน KM ทั้งอยู่ในรูปแบบ พอร์ทอล (Portal) ขององค์กร และของบุคคล (Personal Portal) และระบบสื่อสาร เช่น โทรศัพท์, เทเลคอนเฟอเร็นซ์, อีเมลและระบบรองรับการทำงานร่วมกัน (Collaboration)
                     

ขั้นที่ กำหนดแผนปฏิบัติการหลัก
            เพื่อเป็นศูนย์กลางและเป็นวาระขององค์กรในการจัดการสร้าง KM ให้เกิดขึ้นจริงในองค์กร สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะหลักๆ คือ การบริหารโครงการ KM และการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในองค์กร
                                    
ขั้นที่ การติดตาม ควบคุม และเปิดโครงการ
           โดยธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง การจัดการองค์ความรู้ในองค์กรไม่มีวันจบสิ้น อย่างไรก็ตามการดำเนินการต้องมีการติดตามผลควบคุม จากตัวชี้วัดความสำเร็จ โดยเฉพาะโครงการนำร่อง ว่า KM สามารถก่อให้เกิดประสิทธิผล (Effective ness) ประสิทธิภาพ (Efficiency) และผลิตผล (Productivity) ที่สูงขึ้นในองค์กรได้หรือไม่ และกระบวนการ KM เกิดขึ้นจริงในองค์กรหรือไม่ เช่น อัตราการเติบโตขององค์ความรู้ใหม่ในองค์กร การเข้ามาใช้ฐานข้อมูล ความรู้ในองค์กรมีอัตราการใช้งานอย่างไร
เมื่อโครงการนำร่องบรรลุเป้าหมายจะมีการทบทวน กระบวนการทำงานทั้งหมด ทั้งในส่วนที่สำเร็จ และบทเรียนที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาเป็นข้อมูลป้อนกลับ ปรับปรุงกระบวนการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป